ยินดีต้อนรับสู่เวปบล็อกการเมืองไทยวันนี้

ยินดีต้อนรับสู่เวปบล็อกการเมืองไทยวันนี้
7:43 PM | Author: Unknown
ครั้งหนึ่งมีสองสหายที่เต็มไปด้วยอุดมการณ์แรงกล้าที่จะพัฒนาประเทศชาติให้เจริญรุ่งเรืองตามแนวทางที่วาดหวังไว้.. แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปหนึ่งในสองกลับกลายเป็นนายแบงค์ที่อาจดูห่างจากแนวคิดที่วาดภาพเอาไว้.. ส่วนอีกคนเดินตามทางที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่ต้น..

เมื่อเวลามาบรรจบกันอีกครั้ง ทั้งสองก็ได้กลับมาทำตามอุดมการณ์ที่เคยคิดฝันไว้ และกำลังเผชิญกับการท้าทายอย่างใหญ่หลวงในตอนนี้..

การท้าทายโดยอ้างอิงความยุติธรรม อ้างอิงประชาธิปไตย แต่ถ้าพิจารณาให้ดี มองให้ลึกลงไปมันแฝงไปด้วยแผนคิดการใหญ่ที่น่าตกใจ และถ้าทำไม่สำเร็จก็อาจย้อนกลับมาทำลายตนเองอย่างเจ็บปวด..

มันเป็นสงครามระหว่างชนชั้นจริงๆ แต่เป็นชนชั้นที่ร่ำรวยใหม่ กับชนชั้นอำนาจเก่า โดยเอาประชาชนเป็นหมากในการสนองอำนาจส่วนตนที่ถมเท่าไหร่ก็ไม่มีวันเต็ม..

เมื่อคนๆ หนึ่งเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานอย่างแรงกล้า เกิดมาเพื่อเผาผลาญทรัพยากรธรรมชาติโดยอาศัยระบบ "ทุนนิยม" เป็นเครื่องมือสนองกิเลสที่เหมือนบ่อทราย..

แต่ละผัสสะที่มากระทบประสาทสัมผัสทั้งหลาย ยิ่งกระตุ้นให้เกิดความทะยานอยาก เมื่อยิ่งทำยิ่งประสบผลสำเร็จ มันก็เหมือนยาพิษที่ยิ่งเร่งเร้าความอยาก ความมั่งมี อำนาจ โดยอาจไม่รู้เท่าทันว่ากายเราเป็นมนุษย์ แต่ใจเราเป็นเปรตไปแล้ว..

การนำประชาธิปไตยมาเป็นข้ออ้าง เพื่อสนองอุดมการณ์ส่วนตน โดยทำความเดือดร้อนให้กับผู้ที่เห็นต่าง และผู้คนทั่วไป แบบนี้ยังถือว่าเป็นประชาธิปไตยอยู่หรือ?

ความต้องการในการสถาปณารัฐไทยใหม่ ความต้องการในอำนาจสูงสุด ความคิดที่ว่า ถ้าตนเองต้องเจ็บปวด ประเทศชาติต้องเจ็บปวดไปด้วย.. นี่คือความคิดของคนที่รักชาติ รักแผ่นดิน? หรือเป็นเพียงการเห็นแก่ความคับแค้นส่วนตน?

การหยิบใช้ทรัพยากรอย่างบ้าคลั่ง การแปลงทะเลที่เป็นทรัพย์สาธาระณะให้เป็นโฉนด มีการซื้อขายมีการถอนทุน น้ำเสีย ทะเลเน่า ไม่เว้นแม้แต่การทำนาซึ่งเป็นอาชีพตั้งแต่บรรพกาล เมื่อมีความต้องการมาก ก็ยิ่งดูดเอาทรัพยากรไปใช้มาก ในวันหนึ่งบ้านเราอาจต้องกลับกลายเป็นทะเลทรายเหมือนประเทศของผู้ลงทุนต่างด้าว โดยที่เราไม่ทันรู้ตัว..

ทางออกคืออะไร? คนเราเมื่อขาดแคลนอาหาร ก็เหมือนขาดความมั่นคง การทำเกษตรเชิงเดี่ยว เมื่อแล้งก็หมดตัว ลูกหลานหนีหายไปทำงานในเมือง ครอบครัวแตกแยก สุดท้ายก็ต้องหวังพึ่งคนอื่น..

เมื่อไม่ได้รับการตอบสนองก็คับแค้น และโทษสิ่งรอบตัว..

หันกลับมามองตัวเราเอง หันกลับมาพึ่งตนเอง หันมาคิดพิจารณาให้ถี่ถ้วน แนวทางที่ประสบผลสำเร็จมีเป็นตัวอย่างมากมาย นอกจากครอบครัวจะอยู่พร้อมหน้าแล้ว ยังภาคภูมิใจในตนเองอีกด้วยที่เราสามารถยืนได้ด้วยตนเอง..


ถ้าเราเห็นแก่ตัว คนรอบข้างเราก็จะเห็นแก่ตัวไปด้วย..

ถ้าเราเห็นแก่ตัว เราก็จะได้ผู้ใหญ่บ้านที่เห็นแก่ตัวไปด้วย..

ถ้าเราเห็นแก่ตัว เราก็จะได้กำนันที่เห็นแก่ตัวไปด้วย..

ถ้าเราเห็นแก่ตัว เราก็จะได้ อบต. ที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนไปด้วย..

ถ้าเราเห็นแก่ตัว เราก็จะได้ อบจ. ที่เห็นแก่ตัวไปด้วย..

ถ้าเราเห็นแก่ตัว เราก็จะได้ สส. ที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนไปด้วย..

ถ้าเราเห็นแก่ตัว เราก็จะได้รัฐบาลที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนไปด้วยเช่นกัน..

...

แต่ถ้าเรามีความซื่อสัตย์ มีเมตตา และเสียสละ ครอบครัวเราก็จะอบอุ่น..

ถ้าเรามีความซื่อสัตย์ มีเมตตา และเสียสละ เราก็จะได้ผู้ใหญ่บ้านที่ดี..

ถ้าเรามีความซื่อสัตย์ มีเมตตา และเสียสละ เราก็จะได้กำนันที่เสียสละเพื่อส่วนรวม..

ถ้าเรามีความพอเพียง เราก็จะได้ อบต.ที่ไม่โลภ..

ถ้าเรามีความพอเพียง เราก็จะได้ อบจ.ที่ดี..

ถ้าเรามีความพอเพียง เราก็จะได้ สส. ที่ทำเพื่อส่วนรวม..

ถ้าเรามีความพอเพียง ซื่อสัตย์ มีเมตตา เสียสละ และสามัคคี ประเทศไทยจะเจริญได้โดยไม่ต้องหวังพึ่งพาใคร.. แม่แต่นักการเมือง..

เราอยากได้นักการเมืองที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม.. ต้องเริ่มที่ตัวเรา ไม่เห็นแก่ตัว มีความสมัครสมานสามัคคี เสียสละความสุขส่วนตน เพื่อประโยชน์ส่วนรวม..

ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจงดลบันดาลให้ "เราทุกคน" ผ่านเหตุการณ์ต่างๆ ไปได้ด้วยดี ให้เรารักสมานสามัคคีกัน ช่วยกันพัฒนาชาติบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองสืบไป..

...
You can follow any responses to this entry through the RSS 2.0 feed. You can leave a response, or trackback from your own site.

0 comments: